19 เมษายน 2556

Real to Real

     สำหรับบ้านเรามันช่างฟังดูเชยเสียนี่กระไร เด็กรุ่นใหม่อาจไม่รู้จักเสียด้วยซ้ำ หรือมันเป็นเพียงแค่ตำนาน จั่วหัวมาขนาดนี้เพียงเพราะผมกำลังจะพูดถึง Real Tape ซึ่งเป็นระบบบันทึกเสียงที่เป็น Analog ที่ให้เสียงไพเราะน่าฟังและมีมนต์เสน่ห์



     Sound City หนังเชิงสารคดีที่พูดถึงห้องบันทึกเสียงที่เป็นตำนานทางฝั่งอเมริกา ความเป็นมา เป็นไป และเปลี่ยนแปลง ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ยุค Analog จนถึงยุค Digital

     ซึ่งผมว่าเป็นหนังที่สร้างได้ดีมากเลยทีเดียวเพราะมันทำให้เป็นแรงบันดาลใจของใครหลายคนที่ได้ดู รวมถึงคุณจะได้รู้จัก Sound City ไม่ใช่แค่ Abby road ที่เดียวเท่านั้นที่มีตำนาน ถ้าจะว่าไปแล้วไทยเราน่าจะสร้างหนังเรื่อง Sri Siam บ้างนะครับ

     ที่พูดมาขนาดนี้ก็จะชวนเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ มาฟังเพลงในอัลบั้มนี้ครับ ซึ่งเป็นเพลงที่ประกอบในหนังสารคดีเรื่องนี้ และเป็นเพลงที่น่าสะสมอีกงานหนึ่งเลยทีเดียวด้วยเหตุผลก็คือ
1. เป็นเพลงที่ Recording ผ่าน Analog board ของ Neve 8028 console
2. เป็นเพลงที่บันทึกผ่าน (บันทึกลง) Real to Real Tape
3. เป็นเพลงที่บันทึกสดพร้อมกันทั้งวง ไม่มีการใช้ Autotune
4. เป็นเพลงที่รวมศิลปินที่มีฝีมือไว้อย่างมากมาย



     เพียงเท่านี้ก็น่าจะพอเพียงสำหรับการซื้อเก็บไว้แล้วหล่ะครับ และผมฟังแล้วยอมรับว่าซาวด์ที่ได้ฟังมันทำให้ผมมีความสุขมาก ถ้าคุณชอบ Rock หรือคุณเป็นคน Rock & Roll อัลบั้มนี้รีบหาเก็บไว้นะครับ


17 เมษายน 2556

Outboard gear และ Plugins

     มีคำถามที่หลายครั้งมักมีคนถามผมว่า Outboard gear กับ Plugins อะไร? ดีกว่ากัน เป็นคำถามที่ผมมีคำตอบอยู่ในใจอยู่แล้ว แต่ก็ตอบได้ยากคงต้องนั่งคุยกันสักปีเห็นจะได้ ถามคนไม่มี Outboard เลย ก็จะบอกว่า Plug เอาอยู่ เหมือนกันถามคนที่มี Outboard มากๆก็ต้องเชียร์ Outboard gear

     ถ้าจะให้ผมฟันธงลงไป (กล้าๆหน่อย) ถ้าถามว่าอะไรดีกว่ากันเอาในแง่ของ Sound อย่างเดียวไม่เอาผลกระทบอื่นๆมาเป็นตัวแปล มันก็แน่นอนหล่ะครับ Outboard gear มั่นดีกว่าหลายขุมครับ (ผมเทียบกรณี Plugin ระดับ Top กับ Outboard gear ระดับ Top นะครับ)

     ทำไมนะเหรอ?ครับ ถ้า Outboard ไม่ดีจริงประเด็นคือมันคงอยู่ไม่ได้ถึงทุกวันนี้ และยังมีการพัฒนา และผลิตรุ่นใหม่ๆออกมาเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง และอีกประการคือถ้า Outboard ไม่ดี Plugin ก็จะไม่พยายามที่จะจำลองมันมา และสาระสุดท้ายก็คือ Plugin ดีๆก็มักจะบอกว่า "จำลองมาจาก Outboard Gear" ต่างๆ ซึ่งมันก็คือ "จำลอง" นั่นเอง

     ถึงจะเป็นเช่นนี้ แต่ผมก็ไม่ได้หมายความว่า Plugin ไม่สามารถทำงานดีๆได้นะครับ หรือคนที่มี Outboard gear ดีๆแล้วจะทำงานได้ดีกว่าคนที่ใช้แต่ Plugin นะครับ ทั้งนี้อยู่ที่ความเข้าใจขั้นตอน ขบวนการ และอุปนิสัยของสิ่งที่เรากำลังใช้งาน และความคาดหวังในผลของงานนั่นเอง

     ระบบการทำงานในปัจจุบันที่ทั่วโลกยอมรับ และถือว่าให้ผลดีที่สุดก็คือการทำงานในแบบ Hybrid System ซึ่งผสมผสานระหว่าง Plugin และ Outboard gear ได้อย่างสมดุลย์ อย่างมีเหตุ มีผล ซึ่งผลที่ได้จะได้ผลลัพท์ที่สมบูรณ์ที่สุดในเวลานี้ ซึ่งเป็นที่นิยมไปทั่ว

     สุดท้ายไม่ว่าคุณจะทำงานบนระบบไหนเป็นสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำงานคือความเข้าใจในสิ่งที่ทำ ที่ใช้ และเดินทางไปสู่เป้าหมายของงานได้อย่างสมบูรณ์ ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งมันอาจต้องอาศัยทั้งสองอย่างร่วมกัน มากกว่าจะตั้งแง่ แล้วมองว่าอะไรดีกว่าอะไร!

loundness war สงครามความดัง



     เมื่อพูดถึงสุดสายท้ายงาน เราก็จะพูดถึงขบวนการทางด้านการทำ Mastering ซึ่งแน่นอนประเด็นหนึ่งในหลายๆข้อที่เราต้องพูดถึงกันเสมอก็คือ Loundness war หรือสงครามความดัง

     ทำไมหยิบเรื่องนี้มาคุยกันอีก ก็เพราะว่าผมได้มีโอกาสคุยกับเพื่อนที่อยู่ในอเมริกา และสอบถามเรื่อง Mastering กับความสำคัญของงาน เพื่อนผมที่อยู่ที่อเมริกาได้บอกว่าที่นี่ให้ความสำคัญกับขบวนการนี้มาก และทุกคนจะพยายามทำให้ไม่ดังโดนเน้น Dynmic range เป็นสำคัญ

     ซึ่งยังผิดกับบ้านเราที่ยังขาดความเข้าใจ และพยายามกระโจนเข้าสู่สนามแห่งความดังอยู่เนืองๆ ซึ่งผลที่ได้ ทำให้เพลงขาดความน่าฟัง ขาดความเป็นดนตรี ทุกอย่างเหมือนหน้ากระดาน ถ้าเปรียบผู้หญิงก็แบนหล่ะครับ หาทรวดทรงไม่เจอ

     ต้องยอมรับว่าบ้านเรายังขาดความเข้าใจในเรื่องการทำ Mastering อยู่มาก ถึงมากสุด ที่กล่าวเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าบ้านเราไม่มีคนที่เข้าใจหรือทำไม่เป็น เพียงแต่เทคโนโลยีด้านการทำ Mastering ก็ไม่ต่างไปจากขบวนการอื่นๆที่มีขั้นตอน และการพัฒนาเดินหน้าอยู่อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นในแต่ละยุคของมันก็มีกรรมวิธีการที่แตกต่างออกไป



     ที่น่ากลัวและเลวร้ายที่สุดก็คือ การฟังและเชื่อโดยไม่มีเหตุผลรองรับ ผมไม่ได้บอกคุณต้องฟังเพลงเพื่อหาพระแสงอะไร? เพียงแต่ถ้าคุณฟังเพื่อผ่อนคลาย เพื่อความบันเทิง ฟังไปก็ผ่านไปครับ เอาชิลล์ไว้ก่อน แต่หากคุณฟังเพื่อเรียนรู้ เพื่อศึกษา ก็ต้องแยกแยะ วิเคราะห์ และหาความรู้เพิ่มเติมจากงานที่คุณฟังด้วย งานดีไม่ใช่งานค่ายเสมอไป และงานอินดี้ ไม่ใช่งานด้อยคุณภาพเสมอไป

     ทุกงานมีคุณค่าในตัวมันเอง ดังนั้นการฟังงานอย่างมีเหตุผลถือเป็นสิ่งสำคัญ หลายงานในค่ายเป็นงานที่ดี และหลายงานก็แย่ งานอินดี้หรือค่ายอิสระหลายๆงานก็เป็นงานที่แย่ แต่ก็มีหลายงานที่ดีมากๆ ดังนั้นควรเปิดใจให้กว้างฟังอย่างมีสติใช้เหตุและผล รวมถึงอารมย์ในการตัดสินใจ  อย่าให้แค่คำว่า "เสียงดัง" เข้ามาเป็นตัวกำหนดคุณภาพของงานอย่างเดียว น่าเบื่อครับ "เสียงดัง ตังค์มา"

ปล. ดังได้นะครับแต่ต้องดีด้วยฝากไว้ครับ

16 เมษายน 2556

เรื่องที่น่ากลัวในวงการเพลง

   
     สวัสดีครับหายหน้าหายตาไปนานมาก มากเสียจนคิดว่าจะไม่กลับมาที่ Blog ซะแล้ว เหตุเพราะว่ากระแส Facebook ดึงให้ผม และคิดว่าอีกหลายคนก็คงเข้าไปวนเวียนอยู่ในนั้นจนลืมที่อื่นๆขนาดว่า MSN ยังต้องปิดตัวเลย

     "เรื่องน่ากลัวในวงการเพลง" ที่ผมจั่วหัวมาขนาดนี้มันมีสาระขนาดนั้นเหรอ? ใช่ครับ เพราะอะไร? เพราะวันนี้ถ้าเราถามคนที่ฟังเพลงประเภทที่เราเรียกว่า หูทอง ส่วนใหญ่มากๆจะไม่ฟังเพลง หรือเสพเพลงสมัยนี้ และหรือก็อาจจะไม่ฟังเพลงไทยในยุคนี้ และด้วยคำพูดที่ว่า "เพลงไทยไม่น่าฟังเท่าเพลงต่างประเทศ" อืมมม! มั่นน่าคิดครับ

     ส่วนนึงก็จะมีคนทำงานเบื้องหลังออกมาค้านและบอกว่า "พวกนี้ทำงานไม่เป็นเอาแต่ติ ลองมาทำดูซิ" ก็จริงครับ ในฐานะที่ผมเป็นทั้งคนทำและฟัง ผมก็มองว่าจริงครับ แต่! ถ้าคำพูดเหล่านั้นออกมาจากคนที่ตั้งใจทำงาน และมีความรู้ความสามารถอันนี้ก็แล้วไป แต่ส่วนใหญ่คนที่ตั้งใจทำงานมักไม่พูดเช่นนั้นครับ เท่าที่เจอ

     ส่วนมากมักจะเป็นกลุ่มคนที่ทำงานสุกเอาเผากินเสียมากกว่า ซึ่งตลอดเวลาการทำงานของผม ผมมักได้ยินคนทำงานเบื้องหลังหลายคนพูดว่า "มึงจะลงทุนไปทำไมวะ สุดท้ายแม่งก็ฟังแค่ MP3" หรือไม่ก็ "ขอแค่ดัง ตังค์ก็มา" ก็โอเคครับ ถ้าคิดอย่างนี้ แต่พอโดนคนติเรื่องคุณภาพ กลุ่มเหล่านี้ก็จะเถียงคอเป็นเอ็นและรับไม่ได้กับสิ่งที่ได้ทำไว้

     มันเหมือนหาสาระไม่ได้นะครับที่ผมเอื้อนเอ่ย! แต่อันที่จริงแล้วต้องยอมรับว่าถ้าเทียบขนาดของ Brand ของค่ายเพลงคือเอาระดับประเทศ/ระดับประเทศ ต้องยอมรับครับว่างานบ้านเรายังด้อยกว่าเค้ามาก ผมไม่ได้โทษคนทำครับ มันมีปัจจัยและองค์ประกอบหลายอย่าง ทั้งค่าจ้าง เครื่องมือ ความรู้ ฯลฯ ซึ่งองค์ประกอบเมื่อมารวมกัน มันก็ทำให้งานเราอาจมีปัญหาอยู่บ้าง ถึงมาก

     แต่ตัวการใหญ่ที่สุดในการทำลายคุณภาพงานเพลงก็คือ "ความคิด" ความคิดที่ไม่คิดจะพัฒนา ความคิดที่ติดอยู่แค่ผลประกอบการ ทั้งหมดทั้งมวลมันบั่นทอน คุณภาพของงาน แล้วเราจะเรียกร้องหาคุณภาพของงานได้อย่างไร ในเมื่อคนที่มีโอกาสทำงานดีๆ ยังไม่ปรับทัศนะคติทางความคิดในการทำงาน แค่นี้เราก็ด้อยกว่าเค้าเยอะครับ